บทที่ 18 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ 3 (จบ)

ยามเช้าที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นดั่งสัญญาณของเช้าวันใหม่ หลังจากใช้เวลาไปทั้งคืนกับการปลุกพลังวิญญาณครั้งนี้ในที่สุดหนิงอ้ายก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณได้สำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ทำการดูดซับลมปราณฟ้าดินไปบ้างแล้ว ดังนั้นจุดปราณทั้ง 361 จุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรจึงมีพลังปราณเหล่านี้สะสมอยู่บ้างแล้วเมื่อสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จจึงส่งผลให้ทะลุมาถึงระดับนี้ได้อย่างพอดี

หากกล่าวตามตรงแล้วนี่เป็นเพียงก้าวแรกของเส้นทางแห่งวิถีผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น เพราะแต่ละระดับพลังวิญญาณยังมีมากถึง10 ขั้นย่อย หากเขาต้องการเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้ หนึ่งในคุณสมบัตินั่นคือต้องเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณให้ได้เสียก่อน ดังนั้นด้วยระยะเวลาหลังจากนี้หนิงอ้ายจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปพร้อมกับการเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณนั่นเอง

ตลอดช่วงเช้านี้หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปกับการดูดซับลมปราณจากฟ้าดินที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณบริสุทธิ์ที่วิ่งวนอยู่รอบ ตัวโดยที่ไม่ลืมนำจี้หยกสีแดงทับทิมที่ได้รับก่อนหน้าสวมใส่ไว้ที่คออีกด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเพราะจี้หยกชิ้นนี้ได้ช่วยให้ความเร็วในการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ความบริสุทธิ์อันยิ่งยวดเหล่านี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทุกจุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรอย่างสม่ำเสมอเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบสิ้น

ผ่านไปสองชั่วยามหนิงอ้ายได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนในยุทธภพจึงต้องการเป็นผู้ฝึกตนถึงแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ตาม เพราะหากเทียบกันแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้หลายเท่าจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน อีกทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมไปถึงการรับรู้ก็ทวีเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน

‘ในที่สุดเราก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณระดับได้สำเร็จ!! เกือบถอดใจหลายครั้งเเล้วเชียว...’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างมีความสุข ยอมรับว่าในขณะที่ปลุกพลังวิญญาณนั้นเขาเกือบที่จะถอดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็สามารถผ่านมาได้ในที่สุด

‘ว่าแต่ปราณธาตุของเราจะเป็นอะไรนะ? ธาตุไฟคือความร้อนแรงหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า’ ’ หนิงอ้ายคิดเเล้วหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงว่าหากตนใช้พลังธาตุไฟแล้วจะต้องฝึกฝนตามละครหลังข่าวจากโลกเดิมที่เขาจากมา

‘ท่านแม่บอกว่าให้ทำการรวบรวมสมาธิแล้วเพ่งไปยังลมปราณในร่างกายแล้วจะสัมผัสถึงปราณธาตุในร่างกาย...'

หนิงอ้ายทำการหลับตาอีกครั้งพร้อมกับทำสมาธิเพื่อให้สัมผัสถึงลมปราณในร่างกาย เหนือทะเลลมปราณระดับก่อเกิดวิญญาณของร่างกายเขาสัมผัสและเห็นเป็นดวงแสงสีฟ้าครามสดใสที่แผ่กลิ่นอายความหนาวเย็นไปยังบริเวณโดยรอบจนสามารถสัมผัสได้ ในขณะเดียวกันตรงด้านข้างปรากฎเป็นดวงแสงสีแดงทองที่แผ่คลื่นความร้อนที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นของพลังชีวิตออกมาเป็นระลอก ๆ ชวนให้สงสัยไม่น้อยแต่หนิงอ้ายรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะไม่มีทางทำร้ายเขาอย่างแน่นอน

‘ไม่คิดว่าเราจะมีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง แบบนี้มันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว...' หนิงอ้ายเอ่ยด้วยความสงสัย แม้จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ดวงไฟทั้งสองที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าล้วนยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์คู่อย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดในระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจะถูกเรียกขานราชทินนามว่าขุนพลวิญญาณจะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นและมีปราณธาตุต้นกำเนิดได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ก็มีเช่นกันที่จะพบเห็นผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์คู่แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากและปรากฎให้พบเห็นในรอบร้อยปีหรือเลยทีเดียว

ตัวตนของบรรดาเหล่าผู้ครอบครองปราณธาตุมากกว่าหนึ่งล้วนยากที่จะพบเจอได้โดยง่าย พึงทราบว่าผู้ฝึกตนทั่วไปแม้มีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ หนึ่งปราณธาตุก็สามารถล้มฟ้าสะเทือนดินได้แล้ว และหากเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์คู่ที่ประกอบได้ด้วยปราณธาตุที่มากกว่าหนึ่งเล่า? นี่จึงกล่าวว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่เหนือชั้นขั้นกว่าอย่างแท้จริง

ดวงแสงสีครามคงเป็นปราณธาตุน้ำเหมือนกับบิดาน่าชังผู้นั้น แต่ทว่าดวงแสงสีแดงทองหนิงอ้ายกลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าคือปราณธาตุชนิดใดกัน เพราะถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นปราณธาตุไฟก็จริง เเต่โดยปกติแล้วหากไล่เรียงไปตามความแข็งแกร่งนั่นคือสีเหลืองระดับที่หนึ่ง สีเหลืองส้มระดับที่สองและสีส้มระดับที่สามอันเป็นเขตขั้นสูงสุดของปราณาตุไฟก็หาได้เป็นที่สีเเดงทองเหมือนกับเขาเช่นนี้ไม่ เเต่อย่างไรหนิงอ้ายก็ยังคงมั่นใจว่าต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับปราณธาตุไฟอย่างแน่นอน สงสัยว่าต้องถามกับมารดาให้รู้เสียแล้ว...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป